วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดไม่ลับเพื่อสุขภาพ 5


ผู้ที่ป่วยเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือที่ส่วนใหญ่เรียกว่า โรคกระเพาะอาหาร คงรู้ตัวดีว่า เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกขึ้นมานั้นแสนทรมาน ทั้งยังอาจผสมโรงด้วยอาการจุกเสียดแน่น มีลมในกระเพาะ และคลื่นไส้อาเจียน เจ็บป่วยขนาดนี้คงต้องไปหาหมอสถานเดียว ทว่าได้ยามารับประทานก็ควรทำตามที่หมอสั่ง ถึงมื้ออาหารเมื่อไหร่ก็อย่าให้ขาดคลาดเคลื่อน

นอกจากรักษาด้วยยาและคำแนะนำตามแพทย์แล้ว ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ เตรียมสูตรน้ำผัก แครอต-กะหล่ำปลี สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และบำรุงลำไส้ มาเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง โดย ‘แครอต’ คือแหล่งรวมเบต้าแคโรทีน ซัลเฟอร์  คลอรีน แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงเป็นผักที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร กำจัดและต้านเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะที่ลำไส้ใหญ่ และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ส่วน ‘กะหล่ำปลีเขียว’ มีดีที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบเนื่องจากแผลในลำไส้ ในกระเพาะอาหาร ทั้งยังแก้ท้องผูก บรรเทาจุกเสียดแน่นท้อง เพราะผักชนิดนี้อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก

เตรียมส่วนผสมตามสัดส่วนต่อไปนี้...
 •แครอต 2 ถ้วย
 •กะหล่ำปลีเขียว 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการทำน้ำผัก เริ่มจากนำแครอตมาขูดเป็นเส้นเล็ก ส่วนกะหล่ำปลีเขียวให้หั่นพอหยาบ ได้แล้วนำไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ สามารถเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นลงไปด้วยได้ ควรดื่มทันทีหลังจากทำเสร็จ.

เคล็ดไม่ลับเพื่อสุขภาพ 4

วีธีรักษาอาการปากแห้ง

ภาพประกอบจาก gj.mahidol.ac.th

          ในช่องปากเรามีน้ำลายหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา ต่อมน้ำลายทำหน้าที่ผลิตน้ำลายออกมาเพื่อย่อยอาหาร คลุกเคล้าและหล่อลื่นให้อาหารกลืนได้ง่าย นอกจากนี้น้ำลายยังทำให้เยื่อบุในช่องปากชุ่มชื่นตลอดเวลา หากมีสภาพผิดปกติทำให้น้ำลายไหลน้อยลง เราจะรู้สึกอาการปากแห้ง มีภาวะผิดปกติไปจากที่เป็นทำให้รู้สึกหงุดหงิด และมีผลข้างเคียงหลายๆ อย่าง
           การปล่อยทิ้งให้มีอาการปากแห้งนานๆ อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดเชื้อราในช่องปากได้ง่ายขึ้น
          -  ฟันผุและโรคเหงือกอักเสบในช่องปาก
          -  รู้สึกแสบๆ ร้อนๆ ในช่องปาก
          -  มีกลิ่นปาก หรือทำให้กลืนลำบาก ฝืดคอ
          -  หากมีฟันปลอมแบบถอดได้ การที่ปากแห้งมีผลให้การใส่ฟันปลอมหลวมและใส่ไม่ค่อยสบาย
อะไรเป็นสาเหตุให้ปากแห้ง
          -  ที่พบบ่อยคือ การใช้ยาบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ antihistamine ยาลดน้ำมูก คัดจมูก(De Congestant) ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันดลหิต ยาลดอาการซึมเศร้า โดยข้อเท็จจริงแล้วมียามากกว่า 400 รายการที่มีผลข้างเคียงทำให้ปากแห้ง การใช้ยาจึงควรศึกษาใบกำกับยา หรือได้รับคำแนะนำจากแพทย์
          -  ปากแห้งอาจเกิดจากการฉายแสงในการรักษามะเร็งที่ศีรษะ ในช่องปาก ใบหน้า ลำคอ ต่อมน้ำลาย เพราะผลจากรังสีทำให้การไหลของน้ำลายลดน้อยลงอย่างเด่นชัด
คนที่เป็นโรคเบาหวาน
          -  การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน
สาเหตุเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้การไหลเวียนของน้ำลายน้อยลง

จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้อย่างไร
          -  เคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาล
          -  จิบน้ำบ่อยๆ
          -  ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์
          -  งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมทั้งหลาย
          คนที่มีอาการปากแห้งบ่อยๆ ควรพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปาก ฟัน เหงือก และควรมีข้อมูลการใช้ยา และโรคประจำตัวที่เป็น เพราะจะช่วยให้การวิเคราะห์หาสาเหตุแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น
          การดูแลรักษาสุขภาพในช่องปากสำหรับคนที่ปากแห้งน้ำลายไหลน้อยคงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากธรรมดา เพราะการไหลของน้ำลายช่วยให้อาหารถูกคลุกเคล้าและกลืนได้ง่าย น้ำลายจะช่วยผลักอาหารให้ไหลลื่น มากกว่าที่จะเกาะติดกับตัวฟันและเหงือก ในรายที่ปากแห้งมากๆ การเกาะติดของอาหารที่ฟันและเหงือกก็เพิ่มมากขึ้น และการกลืนจะทำได้ลำบากมากขึ้น การเกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบก็ทวีขึ้นเช่นกัน

เราจะดูและฟันและเหงือกอย่างไร
          -  แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอหลังอาหารทุกครั้ง
          -  อย่าลืมใช้ Dental floss ทุกครั้งที่แปรงฟัน ขจัดคราบอาหารที่ติดตามซอกฟัน
          -  ใช้แปรงซอกฟัน
          -  ทันตแพทย์อาจเคลือบฟลูออไรด์เพิ่ม
          -  อมน้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์แต่ไม่มีแอลกอฮอล์
          อย่าลืมว่า การที่มีริมฝีปากแห้งนอกจากจะสร้างความหงุดหงิดแล้วยังมีผลต่อสุขภาพฟันและเหงือกอย่างมาก หากเรารู้สภาพ เพิ่มความเข้มงวดในการทำความสะอาดฟันมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้สุขภาพฟันดีและอยู่ให้ยาวนานได้ไม่ยุ่งยากเลยถ้าเราเพิ่มน้ำเข้าสู่ร่างกาย ก็อาจช่วยลดอาการปากแห้งได้ ทันตแพทย์หรือแพทย์อาจใช้น้ำลายเทียม เพื่อให้เยื่อบุในช่องปากชุ่มชื่นอยู่เสมอ หรือ อาจใช้...

เคล็ดไม่ลับเพื่อสุขภาพ 3

กิน 'เห็ดหอมทรงเครื่อง' แก้ไข้คลายเครียด


          ไข้และความเครียด คือ 2 อาการยอดฮิตที่เป็นกันได้ถ้วนหน้า ยิ่งใครภูมิต้านทานโรคต่ำหรือชอบคิดมากก็จะเป็นได้ง่ายๆ 'มุมสุขภาพ' วันนี้จึงนำเมนูสุภาพจาก 'เห็ดหอม' ที่ช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้

           ในเห็ดหอม อุดมไปด้วยวิตามินเอกับบี และแร่ธาตุหลายชนิด ให้สรรพคุณคลายเครียด ขจัดความเหนื่อยอ่อน ช่วยหลับง่าย เปรียบเสมือนยาบำรุงกำลัง ขณะเดียวกันเห็ดหอมยังสามารถบรรเทาอาการไข้หวัด อาหารเป็นพิษ แถมยังช่วยเสริมภูิมิคุ้มกันร่างกายด้วย

           สำหรับเมนูสุขภาพจากเห็ดหอมที่แนะนำ คือ 'เห็ดหอมทรงเครื่อง' มีส่วนผสมดังต่อไปนี้...

                     •    เห็ดหอม 15 ดอก

                     •    ถั่วดำ 2 ช้อนโต๊ะ

                     •    เนื้อปลาลวก 1 ถ้วย

                     •    พริกไทยเม็ด ช้อนชา

                     •    ซีอิ้วขาว 1/2 ถ้วย

          ขั้นตอนในการทำ ให้นำเห็ดหอมไปแช่น้ำจนนิ่ม นิยมแช่ในน้ำอุ่นนาน 2-3 ชั่วโมงก่อนนำไปใช้ประกอบอาหาร เมื่อเห็ดหอมนิ่มแล้วจึงบีบน้ำออก หั่นครึ่ง และนำไปผึ่งลมจนแห้ง หันไปต้มถั่วดำและบดให้ละเอียด ส่วนพริกไทยเม็ดก็ให้นำไปโขลกพอแหลกเช่นกัน จากนั้นนำถั่วดำบดไปโขลกรวมกับเนื้อปลาลวกให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่พริกไทยที่โขลกไว้ลงไปผสมและคลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักราดหน้าเห็ดหอมทุกชิ้น ก่อนนำไปนึ่งให้สุก เสร็จแล้วจิ้มซีอิ้วขาวเล็กน้อยเพิ่มรสชาติ

เคล็ดไม่ลับเพื่อสุขภาพ 2

5 ผลไม้เพื่อสุขภาพสายตา


แนะนำผลไม้อุดมอาหารตา หลากวิตามิน ช่วยเรื่องการมองเห็น บำรุงสายตาเสื่อมช้าลง

มะละกอ อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ รับประทานบำรุงผิวพรรณดี ลดริ้วรอยก่อนวัย และบำรุงสายตา รับประทานเป็นผลไม้ หรือใช้ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง หรือเป็นผักจิ้ม ก็นิยมเช่นกัน

ผลไม้ตระกูลส้ม อาทิ เลมอน ส้มโอ เกรปฟรุต มีสารไฟโตนิวเทรียนต์มากมาย ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องแก้วตาจากต้อกระจก และช่วยไหลเวียนเลือดในดวงตา

เสาวรส ผลไม้เปรี้ยวอมหวาน ลักษณะผลแตกต่างกันตามสายพันธุ์ ทั้งรูปกลม รูปไข่ เนื้อภายในคล้ายทับทิม มีวิตามินเอสูงมาก ทำให้การมองเห็นชัดเจน นอกจากนั้น ยังพบว่ามีวิตามินซีมากกว่ามะนาว จึงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ ปัจจุบันถูกแปรรูปเป็นอาหาร และเครื่องดื่มหลากหลาย หาซื้อรับประทานง่าย

แอปปริคอท รสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอม มีวิตามินเอ วิตามินซี และโพแทสเซียมปริมาณมาก ไขมันต่ำ ทั้งยังอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันการเกิดต้อกระจก นิยมนำมาเชื่อมแล้วอบแห้งเป็นของว่างทานเล่น รวมถึงผสมในแยม ทาร์ต เบเกอรี่ เค้ก ไอศกรีม เป็นต้น

สำหรับ โกจิเบอร์รี่ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า อุดมด้วยแคโรทีนอยด์ และซีเอแซนทีน ช่วยเรื่องการมองเห็น หรือสายตา โดยเพิ่มประสิทธิภาพการรับภาพ และป้องกันแสง โดยเฉพาะแสงสีน้ำเงิน และสีฟ้า ทำให้ดวงตาเสื่อมช้าลง มักถูกแปรรูปเป็นเครื่องดื่มน้ำผลไม้ ต้มดื่มน้ำ และใช้ในเชิงสมุนไพรสำหรับประกอบอาหารด้วย

อย่าลืมทานผลไม้ 5 ชนิดดังกล่าวเป็นประจำ ควบคู่กับการใช้สายตาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม เพื่อบำรุงดวงตาคู่สวยให้สดใส และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพนาน ๆ.

เคล็ดไม่ลับเพื่อสุขภาพ 1

แนะวิธีกินดื่มถูกต้องช่วงหน้าร้อน




  นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ และที่ปรึกษาสำนักโภชนาการกรมอนามัย กล่าวว่า การรับประทานอาหารในช่วงอากาศร้อน มีเรื่องที่จำเป็นต้องระวังเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เกิดเชื้อโรคเจริญ เติบโตอย่างรวดเร็ว เมนูอาหารที่ควรรับประทานควรประกอบด้วยผ้าที่ให้น้ำเยอะ เช่น ฟักเขียว แครอท หัวไชเท้า ผักกาด แตงกวา โดยเฉพาะผักพื้นบ้านตามฤดูกาล เช่น ขี้เหล็ก ผักกูด ผักหวาน มีคุณสมบัติดับร้อน ทำให้ร่างกายปรับสภาพอุณหภูมิให้เข้ากับฤดูได้ นำไปทำอาหารได้ทุกประเภท ทั้งต้ม ผัด โดยการรับประทานอาหารทุกประเภทควรเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หรือทำให้ร้อนก่อนรับประทาน ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และใช้ช้อนกลางเพื่อป้องกันโรคทางเดินอาหาร
          ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ดร้อน เปรี้ยวจัด หวานจัด อาหารที่ให้ไขมันสูงพลังงานสูงด้วย เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดความร้อน และจะเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เช่น ส้มตำ น้ำตก ยำ ลาบ แกง กะทิ อาหารทะเล ขนมจีน และอาหารค้างคืนทุกประเภท เพราะเสี่ยงต่อการบูดเสียได้ง่าย
          วิธีสังเกตว่าร่างกายขาดน้ำ คือ รู้สึกกระหายต้องการน้ำในทันที ริมฝีปากแห้งน้ำลายเหนี่ยว ปัสสาวะมสีเหลืองเข้ม ปัสสาวะน้อย มีร้อนในแผลที่ปาก ปวดหัว เกิดตะคริวตามร่างกาย การดื่มน้ำที่ดีที่สุด คือ น้ำเปล่าวันล่ะ 8-12 แก้ว ไม่ดื่มน้ำเย็นจัดร้อนจัด เพราะอุณหภูมิที่แตกต่างกับร่างกายมากจะทำให้กระเพาะเกิดการเกร็งหดตัวน้ำ ซึทเข้าน่างกายได้น้อย ถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ ไม่ควรดื่มอย่างรวดเร็ว ครั้งละมาก ๆ เพราะเสี่ยงทำให้เกิดการเป็นตะคริวหรือช๊อกได้หากรู้สึกกระหายควรดื่มน้ำที่ มีรสเปรี้ยว หรือผลไม้ที่รสเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว น้ำส้ม หรือ บีบน้ำมะนาวครึ่งซีกลงในน้ำเปล่าจะช่วยดับกระหายได้ หรือน้ำสมุนไพร ต้องเลือกที่มีกลิ่นสมุนไพรนำหน้ารสหวาน
          ที่สำคัญคือ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์น้ำรสหวาน กาเฟอีน ซึ่งนำไปสู่การขาดน้ำได้ โดย เมื่อดื่มแอลกอฮอร์ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่วนกาเฟอีนจะทำให้ขับปัสสาวะ ส่วนน้ำตาลจะทำให้เม็ดเลือดมีความเข้มข้นขึ้น ทำให้ต้องการน้ำเพื่อไปเจือจางความข้นของโลหิตซึ่งทั้งหมดทำให้ร่างกายขาด น้ำได้

อาหาร

อาหารเพื่อสุขภาพ 10 สิ่งที่ควรทา

อาหารเพื่อสุขภาพ


ไม่ว่าใคร ๆ ก็ล้วนแล้วอยากจะมีสุขภาพที่ดีไม่ต่างกัน ดังนั้น การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนเลือกใช้และที่สำคัญ มันให้ผลลัพธ์ที่ดีซะด้วยสิ  โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดีจากภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ทุกวันเลยล่ะ 

          อ๊ะ ๆ แต่รู้มั้ยคะว่า นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว หากคุณได้รับประทาน "สุดยอดอาหาร" ในทุก ๆ วันแล้ว ยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพดีมากขึ้นไปอีก เอ? ว่าแต่สุดยอดอาหารที่ว่านี้ คืออะไร อิอิ.. ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

เบอร์รี่


 1. เบอร์รี่ 

          แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วยแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย

ไข่ไก่

 2. ไข่ไก่ 

          ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย

ถั่ว

  3. ถั่ว 

          ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย

มะม่วงหิมพานต์

  4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์ 

          เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย

ส้ม


 5. ส้ม 

          เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว

มันเทศ

 6. มันเทศ 

          อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ

บร็อกโคลี

  7. บร็อคโคลี่ 

          เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย

ชา

  8. ชา 

          แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ

คะน้า

  9. คะน้า 

          มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก

โยเกิร์ต

  10. โยเกิร์ต 

          อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่าบอกใครเลยล่ะ

น้ำผลไม้..น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ

น้ำผลไม้...น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
น้ำแตงโม

ส่วนผสม
เนื้อแตงโม 50 กรัม ( 5 ช้อนคาว) 
น้ำเชื่อม 15 กรัม ( 1 ช้อนคาว) 
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5ช้อนชา) 
น้ำเปล่าต้มสุก 150 กรัม (10 ช้อนคาว) 
วิธีทำ
นำเนื้อแตงโม น้ำ น้ำเชื่อม เกลือ ใส่ในเครื่องปั่น นำไปปั้นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และวิตามินซี ช่วย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้ กระหายน้ำ


น้ำเชอรี่

ส่วนผสม
เชอรี่ 100 กรัม (7 ช้อนคาว) 
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว) 
น้ำเปล่าต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว) 
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม(1/5 ช้อนชา) 
วิธีทำ
เลือกเชอรี่เด็ดก้านล้างให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่นใส่น้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียดนำไปกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำเปล่าต้มสุกส่วนที่เหลือใส่ลง ไปคั้นกับกากเชอรี่ให้แห้งมากที่สุดนำน้ำเชอรี่ที่คั้นได้ใส่น้ำเชื่อมเติมเกลือ ชิมรสตามชอบ 

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันโรคเลือดออก ตามไรฟัน 
คุณค่าทางยาช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง 


น้ำฝรั่ง

ส่วนผสม

ฝรั่งแก่จัด (หันชินเล็ก ๆ) 30 กรัม (2 ช้อนคาว) 
น้ำต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว) 
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว) 
เกลือป่นเล็กน้อย 2 กรัม (2/5 ช้อนชา) 

วิธีทำ

เลือกฝรั่งที่แก่จัด ล้างน้ำสะอาด ฝานเฉพาะเนื้อชิ้นเล็ก ๆ นำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำสุก ปั่นจนละเอียด แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมและเกลือป่นเล็กน้อย ชิมรสตามใจชอบ 

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีสารเบต้า-คาโรทีน ช่วยลดสารพิษในร่างกาย ทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจับที่ผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งตัว 

คุณค่าทางยาช่วยลดระดับไขมันในเลือด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วย เส้นเลือดอุดตัน



น้ำมะขาม



ส่วนผสม

เนื้อมะขามสด หรือเปียก 20 กรัม (2 ฝักใหญ่) 
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว) 
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5ช้อนชา) 
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว) 

วิธีทำ

นำมะขามสดไปลวกในน้ำต้มเดือด ตักขึ้นแกะเอาแต่เนื้อมะขาม นำไป ต้มกับน้ำตามส่วนผสม
ให้เดือด เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบ แต่ถ้าใช้มะขามเปียก ควรแช่น้ำไว้สัก 1/2 ชั่วโมง เพื่อให้มะขามเปียก เปื่อยยุ่ยออกมารวมกับน้ำ ก่อนนำไปต้มจนเดือด แล้วปรุงด้วยน้ำเชื่อม และเกลือ 
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และมีแคลเซียมช่วย บำรงกระดูก รวมทั้งแก้กระหายน้ำ 

คุณค่าทางยาช่วยขับเสมหะ แก้ไอ เป็นยาระบายท้อง ช่วยการ ขับถ่ายได้ดี ลดอาการโลหิตจาง ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน


น้ำมะเฟือง




ส่วนผสม

มะเฟืองหั่น 40 กรัม (1 ผลเล็ก) 
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว) 
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5 ช้อนชา) 
น้ำต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)

วิธีทำ
ล้างมะเฟืองที่แก่จัดให้สะอาด หั่น แกะเมล็ดออกแล้วนำใส่เครื่องปั่น เติม น้ำสุกปั่นละเอียดแล้วเติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมดูรสตามใจชอบ ถ้าต้องการเก็บ ไว้ดื่ม ให้ตั้งไฟให้เดือด 3-5 นาที กรอกใส่ขวด นึ่ง 20-30 นาที เย็นแล้วเข้า ตู้เย็น จะได้น้ำมะเฟืองสีเหลืองอ่อนๆ ดื่มแล้วชื่นใจ 
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร น้ำมะเฟืองมีสีเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นหอม ประกอบ ด้วยคุณค่าของวิตามินเอ วิตามินซี ฟอสฟอรัส และแคลเซียมเล็กน้อย 
คุณค่าทางยาเป็นยาขับเสมหะ ป้องกันโรคโลหิตจาง ขับปัสสาวะ รวมทั้งป้องกันเลือดออกตามไรฟัน


น้ำมะม่วง

ส่วนผสม

เนื้อมะม่วงดิบ 100 กรัม (ครึ่งผลเล็ก) 
น้ำต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว) 
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว) 
เกลือป่น 1 กรัม (1/5 ช้อนชา) 

วิธีทำ

เตรียมวิธีที่ 1 ใช้มะม่วงดิบ เช่น มะม่วงแก้วหรือมะม่วงแรด เป็นมะม่วง ที่มีรสเปรี้ยวไม่มากนัก จะได้น้ำมะม่วงที่มีรสกลมกล่อม ปอกเปลือกมะม่วงออก ล้างน้ำ สับให้เป็นเส้นๆ เล็กๆ คั้นกับน้ำสุก กรองด้วยผ้าขาวบาง เอากากออก เติม น้ำเชื่อม เกลือป่น ชิมดูตามใจชอบ ใส่น้ำแข็งดื่มจะได้น้ำมะม่วงใส สีขาวนวล มีรส หวานอมเปรี้ยว 
เตรียมวิธีที่ 2 ใช้มะม่วงดิบ เหมือนกับวิธีที่ 1 คือสับเนื้อมะม่วงให้เป็น เส้นๆ ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสุก น้ำเชื่อม และเกลือป่นตามต้องการ ชิมดูรสตาม ใจชอบ น้ำมะม่วงที่เตรียมวิธีนี้จะขุ่นขาว เพราะมีเนื้อมะม่วงป่นอยู่ 
เตรียมวิธีที่3 ใช้มะม่วงสุก ล้างมะม่วงให้สะอาด ปอกเปลือก ฝานเนื้อเข้า เครื่องปั่น เดิมน้ำสุก เติมเกลือเล็กน้อย ชิมดูตามต้องการ ถ้าต้องการหวานให้เติม น้ำเชื่อมลงไป 
น้ำมะม่วงควรเตรียมและดื่มให้หมดใน 1 วัน 

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอและวิตามินซีสูง ช่วยบำรุงสายตา ป้องกัน โรคเลือดออกตามไรฟันและยังมีฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็กเล็กน้อย 
คุณค่าทางยาเป็นยาระบายอ่อน ๆ


น้ำสับปะรด



ส่วนผสม

น้ำสับปะรด 240 กรัม (1/4 ผลใหญ่) 
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว) 
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนชา) 
วิธีทำ
นำสับปะรดล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วล้างอีกครั้ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบ 
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีแคลเซียม และฟอสฟอรัสมากช่วยบำรุงกระดูก และฟันรองลงมามีวิตามินซีช่วยป้องกันโรคเลือด ออกตามไรฟัน 
คุณค่าทางยาช่วยย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ลดอาการ อักเสบ บวม ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยขับ เสมหะ


น้ำส้มคั้น

ส่วนผสม

ส้มเขียวหวาน 220 กรัม (3 ผลขนาดกลาง) 
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5 ช้อนชา) 

วิธีทำ

นำส้มมาล้างเปลือกให้สะอาดใช้มีดผ่าขวางลูก คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือ ตักเอาเมล็ดออก ชิมรสตามชอบ 
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอมาก ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ช่วยบำรุง กระดูก และ ฟัน 
คุณค่าทางยาป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคเลือดออกตาม ไรฟัน


น้ำกระเจี๊ยบแดง

ส่วนผสม

ดอกกระเจี๊ยบสด/แห้ง 20 กรัม (5 ดอก) 
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว) 
น้ำเปล่า 200 กรัม (14 ช้อนคาว) 
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนคาว)

วิธีทำ
1 เอาดอกกระเจี๊ยบสดหรือแห้งก็ได้ ล้างน้ำทำความสะอาดนำใส่หม้อ ต้มจนเดือด แล้วลดไฟลงอ่อน ๆ เคี่ยวเรื่อย ๆ จนน้ำเป็นสีแดง จนเข้มข้น 
2. เอาดอกกระเจี๊ยบขึ้นจากหม้อต้ม แล้วเอาน้ำเชื่อมและเกลือใส่ลงไป ปล่อยให้น้ำกระเจี๊ยบเดือด 1 นาที ก็ยกลง ชิมรสตามใจชอบ 
3. เอาขวดแม่โขงมาล้างทำความสะอาด ต้มในน้ำเดือด 20 นาที นำ น้ำกระเจี๊ยบแดงมากรอก แล้วปิดจุกให้แน่น เก็บไว้ได้นาน (ควร แช่ในตู้เย็น) 
หรืออีกวิธีหนึ่ง นำดอกกระเจี๊ยบมาตากแห้ง แล้วนำมาบดเป็นผง นำผงกระเจี๊ยบครั้งละ 1 ช้อนชา ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิกรัม )

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหารให้วิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยบำรุงสายตารอง ลงมามีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน 
คุณค่าทางยาช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต เป็นยาระบาย อ่อนๆ และช่วยแก้อาการกระหายน้ำ



น้ำขิง

ส่วนผสม

ขิงสด 15 กรัม (ขนาด 1” x 15” 5 ชิ้น) 
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว) 
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว) 
วิธีทำ

นำขิงมาปอกเปลือกล้างให้สะอาดหั่นเป็นแว่นใส่หม้อใส่น้ำ ตั้งไฟต้ม น้ำจนเดือดสักครู่ยกลง กรองเอาขิงออก ใส่น้ำเชื่อม ชิมรสตามชอบ หรืออีกวิธีหนึ่ง ใช้เหง้าขิงแก่ฝนกับน้ำมะนาว ใช้กวาดคอ หรือใช้ เหง้าขิงสดตำผสมน้ำเล็กน้อย นั้นเอาน้ำและใส่เกลือนิดหน่อยใช้จิบบ่อย ๆ 

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร พรั่งพร้อมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น มีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยัง มีสารเบต้า-แคโรทีนอีกด้วยซึ่งช่วยต้านโรคมะเร็ง 
คุณค่าทางยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม และขับเสมหะ แก้อาการ คลื่นไส้ อาเจียน เมารถเมาเรือ ช่วยเจริญอาหาร กินข้าวได้นอกจากนั้นยังลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยย่อยอาหารโดยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ต่าง ๆ ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร 


น้ำตะไคร้

ส่วนผสม

ตะไคร้ 20 กรัม (1 ต้น)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว)

วิธีทำ
นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อนสั้น ทับให้แตก ใส่หม้อต้มกับ น้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบหรืออาจเอาเหง้าแก่ที่อยู่ใต้ดิน ล้างให้สะอาด ฐานเป็นแว่นบาง ๆ คั่วไฟอ่อน ๆ พอเหลือง ชงเป็นชา ดื่มวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ถ้วยชา จะช่วยขับปัสสาวะให้สะดวก

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยัง แคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วย เพิ่มกลิ่นหอมให้กับอาหาร
คุณค่าทางยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับ ปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดีช่วยลดพิษของสารแปลก ปลอมในร่างกาย รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต 




น้ำมะตูม

ส่วนผสม

มะตูมแห้ง 8 กรัม (2 ชิ้น)
น้ำตาลทราย 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว)

วิธีทำ
นำมะตูมแห้งมาล้างให้สะอาด ปิ้งไฟให้หอม นำไปใส่หม้อ เติมน้ำ ตั้ง ไฟเคี่ยวสักครู่ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายตั้งไฟให้ละลาย ชิมรสตามชอบ ยกลง
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยาเป็นยาระบาย ขับลม ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บารุงธาตุ ทำให้ขับถ่ายดี และ เจริญอาหาร ขับ เสมหะ แก้อาการร้อนในได้ดี 



น้ำเห็ดหลินจือ



ส่วนผสม

เห็ดหลินจือแห้ง 6 กรัม (10 ชิ้น) 
น้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ลิตร (2 ขวดโค๊กขนาด 1 ลิตร)

วิธีทำ
1 นำเห็ดหลินจือแห้งและน้ำสะอาดใส่ลงในหม้อเคลือบหรือหม้อดินยิ่งดี 
2 ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟต้มจนเดือด แล้วหรีไฟลงให้น้ำเดือดปุดๆ ต่อไปประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงยกลง 
3 ควรดื่มน้ำสกัดจากเห็ดที่มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิร่างกาย ให้ดื่มแทนน้ำได้ ทั้งวัน (ดื่มเพื่อสุขภาพ)

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยา สารอาหารที่มีอยู่ในเห็ดหลินจือ จะเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ให้ ทำหน้าที่ปกติ และสามารถต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ต้านการจับตัวของ ลิ่มเลือด รวมทั้งลดน้ำตาลในเลือด ฯลฯ 
เป็นยาอายุวัฒนะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายเกือบทุกระบบของร่างกาย เช่น 
- ระบบไหลเวียนของโลหิต เช่นโรคที่เกิดจากการมีโคเรสเตอรอลในเลือดสูง เส้นเลือดอุดตัน หลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง โรคหัวใจ และรอบเดือนไม่ปกติของสตรี 
- ระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ ท้องผูก ทางเดินอาหารอักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร 
- โรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย 
- โรคอื่น ๆ เช่นโรคตับอักเสบโรคไขข้ออักเสบโรคอ้วน อัมพาต อัมพฤกษ์ โรคไตอักเสบ โรคปวดหัวข้างเดียว นอนไม่หลับ และโรคเครียด


น้ำฟ้าทะลายโจร



ส่วนผสม
ฟ้าทะลายโจหั่น (ตากแห้ง) 15 กรัม (1 ช้อนชา) 
ใบเตยหอมสดหั่น 15 กรัม (1 ช้อนคาว) 
น้าสะอาด 200 กรัม (14ช้อนคาว)

วิธีทำ
1 เอาฟ้าทะลายหั่นตากแห้ง ใส่หม้อต้ม 
2. เอาใบเตยหอมหั่นใส่ลงไปด้วย เพื่อสร้างความหอมและน่าดื่ม 
3. ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ ต้มจนเดือด เคี่ยวจนงวด ยกลง เอากากออก แบ่งดื่มวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น 
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยาช่วยใรคภูมิแพ้ได้ดี แก้ร้อนใน เจ็บคอ ตัวร้อน ปวดหัว ช่วยเจริญอาหาร